“กระดาษ” เป็นสื่อกลางในการสื่อสารความคิด บันทึกและส่งต่อเรื่องราว นับเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์และงานออกแบบ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเราเดินทางมาถึงจุดที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนทุกคน กระดาษจึงถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็น จากบรรดาตัวเลือกเครื่องมือใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย นิทรรศการขนาดย่อม “About Paper เรื่องของกระดาษ” ชวนคุณค้นหาคำตอบของการใช้กระดาษในความท้าทายของโลกปัจจุบัน โดยเริ่มต้นจาก การทำความเข้าใจคุณสมบัติพื้นฐานในเชิงวัสดุของกระดาษ ไปจนถึงการใช้งานในมิติต่างๆ ที่อาจไม่ใช่แค่เพียงเป็นแค่สื่อกลางในการสื่อสารตัวหนังสือแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น กระดาษยังก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง เผยให้เห็นความสามารถในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่เป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด
paper properties / paper / tcdcarchive
(นิทรรศการขนาดย่อม)
29 กันยายน - 13 ธันวาคม 2558
ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ
อดีตจนถึงปัจจุบัน กระดาษถูกใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารความคิด บันทึกเรื่องราว ส่งต่อความหมายที่ดีเสมอมา ซึ่งบ่อยครั้งกระดาษยังถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ และงานออกแบบ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเราเดินทางมาถึงจุดที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนทุกคน กระดาษถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็น จากบรรดาตัวเลือกใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย
นิทรรศการ About Paper - เรื่องของกระดาษนี้ ชวนคุณค้นหาคำตอบการใช้กระดาษในความท้าทายของโลกปัจจุบัน ที่เราอาจต้องเริ่มต้นจาก การทำความเข้าใจคุณสมบัติพื้นฐานในเชิงวัสดุของกระดาษ ไปจนถึงการใช้งานในมิติต่างๆ ที่อาจไม่ใช่แค่เพียงเป็นแค่สื่อกลางในการสื่อสารตัวหนังสือแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น กระดาษยังก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง เผยให้เห็นความสามารถในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่เป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด
ค่าน้ำหนักที่เราพบประจำคือ ‘แกรม’ กับ ‘ปอนด์’ ซึ่งวิธีการหาค่าของมันต่างกันที่ ‘แกรม’ จะเป็นการคิดน้ำหนักกระดาษเป็นแผ่น ส่วน ‘ปอนด์’ เป็นการคิดน้ำหนักกระดาษจำนวน 1 รีม หรือ 500 แผ่น หากทำเป็นสมการ ออกมาได้ดังนี้
น้ำหนักกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร = แกรม
กระดาษขนาด 1 ตารางเมตร น้ำหนัก 80 กรัม = 80 แกรม
น้ำหนักกระดาษ 1 รีม = ปอนด์
กระดาษ 1 รีม น้ำหนัก 80 ปอนด์ = กระดาษ 80 ปอนด์
ทั้งนี้ขนาดกว้างคูณยาวของกระดาษที่ใช้วัดน้ำหนักในหน่วยปอนด์นั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดมาตรฐานของกระดาษแต่ละประเภท เช่น กระดาษหนังสือ ขนาด 25”x38”, กระดาษปอนด์ ขนาด 17”x22”, กระดาษปก ขนาด 20”x26” เป็นต้น
ค่าของน้ำหนักกระดาษใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการซื้อ-ขายกระดาษ (โรงพิมพ์หรือโรงงานกระดาษในประเทศไทยบางทีก็คิดน้ำหนักกระดาษ 1 รีมเป็นหน่วยกิโลกรัม) นอกจากนี้ยังใช้ในการเปรียบเทียบคุณสมบัติอื่นๆ กับกระดาษประเภทเดียวกันได้ โดยกระดาษที่มีน้ำหนักมากกว่า ความแข็งแรง ความหนา และความทึบแสง ย่อมมากกว่าด้วย
ในการเลือกใช้กระดาษ มักมีการเข้าใจผิดว่าแกรมกับปอนด์คือความหนา ซึ่งแท้จริงแล้วคือน้ำหนักกระดาษ เมื่อจับกระดาษจะพบว่า บางครั้งกระดาษที่มีแกรมเท่ากันก็อาจหนา-บางต่างกัน หากเป็นกระดาษคนละชนิด
ความหนาและน้ำหนักกระดาษมีผลในการทำสิ่งพิมพ์ประเภทสมุด-หนังสือ หากใช้กระดาษที่เบากว่า ฟูกว่า จำนวนหน้าของหนังสือก็จะน้อยลง รวมทั้งน้ำหนักหนังสือก็เบาลงด้วย มองในแง่ธุรกิจก็เป็นการลดต้นทุนเรื่องค่าขนส่ง และถ้ามองในแง่ผู้ใช้งาน หนังสือบางเล่มที่ต้องถืออ่านนานๆ คนอ่านย่อมถือสบายขึ้นหากหนังสือนั้นมีน้ำหนักเบา
ค่าความหนาของกระดาษโดยทั่วไปใช้หน่วยมิลลิเมตร แต่ก็มีการใช้หน่วยนิ้ว (อเมริกา) และไมโครเมตร (ระบบ SI) อยู่บ้าง วิธีหาค่าความหนาของปึกกระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณความหนาของกระดาษเมื่อนำมาเรียงเป็นปึกหรือเป็นเล่มมีอยู่ 2 วิธี
วิธีการแรก ใช้เครื่องไมโครมิเตอร์ วัดความหนาของกระดาษที่วางซ้อนกัน 4 แผ่น หน่วยของความหนาที่ได้เรียกว่า ความหนา 4 แผ่น/คาลิเปอร์ (caliper)
อีกวิธีคือการนำกระดาษมาซ้อนกันให้ได้ความหนา 1 นิ้ว แล้วดูว่าใช้กระดาษกี่แผ่น หน่วยของความหนานี้เรียกเป็น จำนวนแผ่น/นิ้ว หรือ PPI (pages per inch)
กระดาษประเภทเดียวกัน กระดาษที่หนากว่าย่อมแข็งแรงกว่า แต่หากต้องการเปรียบเทียบระหว่างกระดาษคนละประเภท เราอาจพิจารณาจากความหนาแน่น (เรียกโดยทั่วไปว่าความหนาแน่นเสมือน) ของกระดาษนั้นๆ แทน ซึ่งการหาความหนาแน่นเสมือนสามารถหาได้จาก อัตราส่วนระหว่างน้ำหนักกระดาษ (แกรม) กับความหนา (เมตร) เป็นสมการดังนี้
กระดาษแต่ละชนิดมีน้ำหนักและความหนาที่หลากหลายก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานมีทางเลือกตามความเหมาะสม ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ลักษณะ และรูปแบบการใช้งาน รวมถึงเงินทุนเพื่อช่วยสนันสนุนการผลิต
การวัดความหนาของกระดาษทำได้ยาก เพราะกระดาษแต่ละแผ่นบางมาก ดังนั้นแทนที่จะวัดจากความหนาโดยตรง ก็ใช้วิธีดูที่นํ้าหนักของกระดาษแทน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า กระดาษประเภทเดียวกันกระดาษหนาย่อมมีนํ้าหนักมากกว่ากระดาษบาง
แนวเกรนกระดาษคือแนวที่เยื่อหรือเส้นใยกระดาษเล็กๆ เรียงตัวกันในระหว่างการผลิต ในขณะที่เยื่อถูกลำเลียงไปตามเครื่อง เส้นใยต่างๆ ก็จะวิ่งไปในแนวเดียวกันกับการผลิต การเรียงตัวของเส้นใยนี้เรียกว่า ‘แนวตามเกรน’ ส่วนแนวกระดาษที่ขวางเครื่องก็เรียกว่า ‘แนวขวางเกรน’ การรู้แนวเกรนกระดาษจะช่วยนักออกแบบได้มากในเรื่องความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ การวางกระดาษแนวตามเกรนให้อยู่ขวางจะช่วยให้บรรจุภัณฑ์ มีความแข็งแรงได้มากกว่า นอกจากนี้ในการแปรรูปกระดาษเช่นการหัก พับ เซาะร่อง จะทำได้ง่ายหากทำแนวตามเกรน
หากต้องการงานพิมพ์ที่มีคุณภาพและไม่เกิดการเหลื่อมของสีเนื่องจากกระดาษ ควรพิมพ์กระดาษตามแนวเกรน การพิมพ์ตามแนวขวางเกรนมีโอกาสที่สีจะเหลื่อมเนื่องจากแนวขวางเกรนมีการยืดหดของกระดาษมากกว่า
การออกแบบแพคเกจจิ้งบนกระดาษ ควรวางให้ด้านตามแนวเกรนกระดาษกล่องจึงจะแข็งแรง เพราะในการจัดวางกล่องบรรจุภัณฑ์ นอกจากตัวกล่องจะต้องรับน้ำหนักผลิตภัณฑ์ภายในกล่องแล้ว บางครั้งอาจต้องมีการวางกล่องซ้อนทับกัน การวางกระดาษแนวตามเกรนให้ขวางจะรับแรงได้ดีกว่า และยังลดปัญหาการโป่งของกล่องในระยะยาวด้วย
ความเรียบของกระดาษขึ้นอยู่กับชนิดและกรรมวิธีการผลิต โดยในขั้นตอนการผลิตปกติจะมีการรีดผิวกระดาษมาแล้วในระดับหนึ่ง กระดาษแฟนซีหรือกระดาษที่ผิวมีลวดลาย จะใช้วิธีการสร้างลวดลายบนผิวโดยการใช้อุปกรณ์ลูกกลิ้งรีดทับ ส่วนผิวกระดาษที่ต้องการความเรียบเพิ่มมากขึ้นจะถูกนำมาผ่านกระบวนการฉาบผิว (surface sizing), เคลือบผิว (Coating) ขัดผิว (Supercalendering) หรืออาจนำมาใส่สารอื่นๆ ที่ต้องการเช่นสารกันซึม กระดาษที่ผิวมีความเรียบดีจะยิ่งรับเม็ดหมึกสีได้ดี ทำให้งานที่พิมพ์ลงไปมีความคมชัดสวยงาม มีแสงเงาที่ดี แต่แน่นอนว่าราคาของกระดาษก็จะสูงไปตามประสิทธิภาพของมันด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หมึกพิมพ์ยึดติดและกระจายตัวได้สม่ำเสมอคือความเรียบของผิวหน้ากระดาษ จึงไม่น่าแปลกใจที่กระดาษอาร์ตที่มีเนื้อแน่นและมีผิวที่เรียบกว่าจะให้สีจัดและคอนทราสชัดกว่ากระดาษปอนด์ ปัจจุบันมีการพัฒนากระดาษพิเศษที่มีการเคลือบผิวให้หน้ากระดาษมีความเรียบมากขึ้นทำให้มิติของภาพมีความลึกมากขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดีกระดาษที่พิมพ์ภาพชัดบางตัวก็มีผิวหน้าที่มีความมันด้วย สำหรับสิ่งพิมพ์ที่เน้นการอ่านหรือมีตัวหนังสือมากๆ ก็มักนิยมใช้กระดาษปอนด์หรือกระดาษที่ถนอมสายตามากกว่า
เราสังเกตความทึบแสงของกระดาษได้โดยการมองกระดาษผ่านแสง กระดาษที่มีความทึบแสงต่ำจะเห็นเงาของสิ่งที่อยู่ด้านหลังกระดาษชัดเจนกว่ากระดาษที่มีความทึบแสงสูง เราควรพิจารณาความทึบแสงของกระดาษก่อนพิมพ์ เพราะการใช้กระดาษที่มีความทึบแสงต่ำพิมพ์งานสองหน้าอาจทำให้ผู้อ่านรำคาญตาได้ เนื่องจากมองเห็นภาพหรือตัวหนังสือของหน้าหลังทะลุซ้อนขึ้นมา แต่อย่างไรก็ดีการดูดซึมหมึกของกระดาษก็เป็นอีกเรื่องที่ควรพิจารณา เพราะกระดาษบางชนิดแม้จะมีความทึบแสงดีแต่เมื่อพิมพ์แล้วกระดาษดูดซึมหมึกได้มาก ทำให้หมึกพิมพ์ซึมผ่านลงมาอีกด้านของกระดาษ ก็ทำให้อ่านได้ยากเช่นกัน
กระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์ปัจจุบันมีหลายแบรนด์และหลายประเภทให้เลือกใช้ ความขาวของสีกระดาษก็มีหลายระดับ โดยปกติแล้วเรามักพิจารณาความขาวจากการมองเห็นด้วยตา สีที่เราแยกแยะได้และเห็นอยู่บ่อยๆ คือเฉดสีขาว (True White) เกิดจากการสะท้อนรังสีแสงทั้งหมด เหมาะกับการพิมพ์งานที่ให้สีสัน เพื่อให้ได้สีที่ชัดเจนและใกล้เคียงความจริงที่สุด ขาวครีม (Cream White) จะดูดซึมคลื่นแสงสีฟ้าได้มากทำให้มองเห็นเป็นกระดาษเป็นสีครีมสบายตา มักถูกนำมาทำเป็นหนังสือที่ใช้อ่านนานๆ และขาวอมฟ้า (Blue White) ซึ่งมีความยาวคลื่นที่ยาวเช่นสีแดง-เขียวทำให้มองเห็นกระดาษสีเหลือบฟ้า เวลาพิมพ์จึงตัดกับหมึกสีดำทำให้ตัวอักษรเด่น
ในอุตสาหกรรมกระดาษยังมีการพิจารณาความขาวของกระดาษจากค่าความขาว (Whiteness) และค่าความสว่าง (Brightness) ของกระดาษ ซึ่งสองค่านี้เป็นค่าที่ได้จากการวัดค่าการสะท้อนของความยาวคลื่นแสง โดยค่าความขาวจะวัดจากความยาวคลื่นแสงขาว (Spectrum) ส่วนค่าความสว่างจะวัดจากความยาวคลื่นแสงเฉพาะสีฟ้าเท่านั้น ค่าที่ได้จะอยู่ที่ 0-100 หากวัดได้ค่ามากก็แสดงว่ามีความขาวหรือความสว่างมาก แต่ค่าเหล่านี้อาจมากเกิน 100 ได้หากกระดาษนั้นมีการเติมสารจำพวก Optical Brightening Agents (OBA) ลงไป
ต้องระวังมาก เพราะสีที่เราดีไซน์ออกไปจะแปรผันตามสีของหน้ากระดาษ เห็นได้ชัดในกรณีการพิมพ์สีอ่อน เช่นพิมพ์สีชมพูอ่อน หากกระดาษที่ใช้เป็นสีขาวอมแดง สีจะเพี้ยนเป็นชมพูอมแดงไปตามกระดาษ นอกจากนี้ยังต้องควบคุมการใช้กระดาษให้สีคงที่เพราะงานบรรจุภัณฑ์เป็นงานที่มักถูกเรียงบนชั้นอยู่ด้วยกันหลายๆ ตัว สีที่ต่างกันจะเห็นได้ชัด หากล๊อตการผลิตไหนเฉดกระดาษขาวออกเหลือง บรรจุภัณฑ์อาจจะดูเก่า เป็นต้น
ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งยังมีความแข็งแรงหลายระดับ บวกกับเสน่ห์ในตัวของมันเอง กระดาษถูกนำมาใช้ในงานสร้างสรรค์มากมาย นอกจากนี้กระดาษยังเป็นวัสดุที่มีการพัฒนาต่อเนื่องมาโดยตลอดเพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานหลายประเภท และนี่ก็เป็นเพียงเรื่องราวส่วนหนึ่งของกระดาษที่ถูกนำมาใช้ในหลายบริบทและความต้องการอย่างไร้ขีดจำกัดของนักออกแบบ
กระดาษถูกใช้ในงานศิลปะและงานประดิษฐ์อย่างแพร่หลาย ศิลปินและนักออกแบบที่มีชื่อเสียงด้านการใช้กระดาษโดยเฉพาะทั้งในยุโรปและเอเชียต่างเลือกเทคนิคเฉพาะตัวในการทำงานกับกระดาษที่ตนสนใจ และพัฒนาฝีมือให้ถึงจุดที่น้อยคนนักจะทำได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้งานของพวกเขามีเอกลักษณ์และน่าจดจำเกิดได้ทั้งจากการพับ การตัด การฉลุ การขึ้นรูป การทำสี เมื่อบวกกับคุณสมบัติของกระดาษแต่ละชนิดที่มีแทบนับไม่ถ้วนด้วยแล้วนั้น พวกมันสามารถรองรับจินตนาการของศิลปินและนักออกแบบได้อย่างไม่จำกัด
เส้นใยที่เรียงตัวกันของกระดาษ สามารถสร้างให้เกิดโครงสร้างที่ทรงพลัง ถูกนำไปทำกล่องแพคเก็จ ลัง เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสามารถเพิ่มความแข็งแรงด้วยการพับ โครงสร้างที่ถูกทับซ้อนซ้ำกันยังป้องกันแรงกระแทกและรับน้ำหนักได้มากขึ้น ด้วยความแข็งแรง คงตัว เบา ทำงานด้วยง่าย และต้นทุนต่ำ พวกมันถูกพัฒนาไปสู่สเกลงานที่ใหญ่ขึ้นโดยกลุ่มสถาปนิกหรือวิศวกรที่ต้องการท้าทายความเป็นไปได้ของกระดาษ สถาบันการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมในทั่วโลกมักใช้พวกมันเป็นวัสดุในการออกแบบโปรเจกต์ทดลองต่างๆ ของนักศึกษา อีกทั้งยังมีสถานิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกนำแกนกระดาษขนาดต่างๆ มาทำเป็นผนังและโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ การที่พวกมันถูกใช้งานมากขึ้นส่งผลให้เกิดการพัฒนากระดาษกลุ่มนี้ในเรื่องความแข็งแรงจนกลายเป็นนวัตกรรมกระดาษใหม่ๆ อาทิ กระดาษรังผึ้งหรือแกนกระดาษรีไซเคิลที่ถูกทำให้มีขนาดใหญ่เหมือนเสาคอนกรีตเป็นต้น
แม้ยุคนี้ข้อมูลดิจิตอลอันแสนรวดเร็วจะมาแรงจนเบียดการส่งสารผ่านกระดาษแล้วก็ตาม แต่การรับรู้จากกระดาษก็ยังมีผลกับความรู้สึกได้มากกว่าสิ่งที่เสพได้ง่ายบนหน้าจอ กระดาษเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์และการรับรู้ร่วมกันของคนเรา และในขณะเดียวกันงานออกแบบจากกระดาษก็เป็นสื่อที่ช่วยเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ที่ได้รับมันไปเช่นกัน กระดาษและงานพิมพ์ที่เน้นความหรูหรา ทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษต่อผู้รับ ทั้งยังทำให้เห็นถึงรสนิยมที่พิเศษของผู้ที่มอบให้ งานแพ็กเกจจากกระดาษรีไซเคิลทำให้เรารู้สึกถึงความสบายๆ และสิ่งที่ทำจากธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติแม้จะยังไม่เห็นผลิตภัณฑ์ก็ตาม
เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เกิดการแปรรูปและประยุกต์กระดาษให้มีคุณสมบัติพิเศษและมีประสิทธิภาพในการใช้งานมากกว่าที่กระดาษเคยทำได้ ของใกล้ตัวอย่างซองขนมที่ทำจากกระดาษรีไซเคิล หรือกระดาษห่อข้าวมันไก่ เพียงใช้การเคลือบฟิล์มด้านใน ก็ทำให้กระดาษกลายเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ทนต่อความชื้นและไขมัน ปัจจุบันมีการทดลองคุณสมบัติและพัฒนาสารเคลือบผิวต่างๆ ที่ทำให้กระดาษมีความทนทานต่อการใช้งาน ความชื้น และแรงเสียดทานรอบตัวได้ดีขึ้น ถึงขั้นที่สามารถนำมาใช้ได้ทุกวันเหมือนวัสดุประเภทผ้าหรือหนัง แต่ในขณะเดียวกันเสน่ห์และความงามแบบกระดาษก็ยังคงปรากฏอยู่ในงานออกแบบแต่ละชิ้น
ความต้องการของนักออกแบบ นักวิจัย และผู้ใช้งานกระดาษ มีผลต่อการพัฒนาความสามารถของกระดาษให้กว้างออกไปในหลายทิศทาง ทุกวันนี้มีนวัตกรรมกระดาษที่ แปลก ใหม่ น่าสนใจ ออกมามากมาย แม้อาจไม่ได้ใช้งานโดยตรง แต่จริงๆแล้วพวกมันอยู่รอบตัวเรา ใครจะคาดคิดว่ากระดาษจะกลายเป็นฉนวนกันความร้อนบนหลังคาบ้าน เป็นฉนวนภายในเครื่องทำความเย็นที่แสนชื้น ถูกพัฒนาให้มีทั้งความแข็งแรง กันรอย กันน้ำได้ หรือแม้แต่มีหน้าตาที่ดูต่างออกไปจากเดิมอาทิ มีความนูน แวววาว หรือสะท้อนภาพเหมือนกระจก ส่วนผสมใหม่ๆ ที่มีการทดลองกับกระดาษทำให้เกิดนวัตกรรมที่มีความสามารถอันน่าทึ่ง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะถูกส่งต่อเพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และต่อยอดความคิดออกไปอย่างไม่สิ้นสุด
กระดาษเครื่องเขียนใส่เมล็ดพืช นำไปปลูกได้
ผลิตภัณฑ์ : Garden Greetings
ผู้ผลิต : Botanical Paperworks Inc
รหัส : MC# 5895-01
ที่รองแก้วใยสับปะรด
ผลิตภัณฑ์ : Object 2.1 "PUNN"
ผู้ผลิต : OUK Studio Co., Ltd. (ประเทศไทย)
รหัส : MC#7571-01
กระดาษโพลิเมอร์พิมพ์ลายด้วยความร้อน ทนนํ้ำและรังสียูวี ต้านทานการฉีกขาดได้ดี สามารถเย็บหรือเชื่อมติดกันด้วยความร้อนได้
ผลิตภัณฑ์ : Printed Tyvek
ผู้ผลิต : Shirly Vered
รหัส : MC# 6014-01
สื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
แนะนำสื่ออื่นๆ ที่น่าสนใจ
สื่ออื่นๆ ที่คุณเพิ่งดู