Richard F. Outcault วาด Hogan’s Alley เป็นการ์ตูนกรอบขาวดำ
เล็กๆ ลงในหนังสือพิมพ์ The New York World แล้วได้รับความนิยมจาก
คนอ่าน จนได้ขยายพื้นที่ลงเต็มหน้าสี่สีของหน้าแทรกฉบับวันอาทิตย์ โดยมี
เด็กชายหัวล้าน สวมเสื้อคลุมสีเหลืองในนาม The Yellow Kid เป็นตัว
ชูโรง พร้อมจุดเด่นตรงการวาด “บอลลูนคำพูด” (word ballon) ให้ตัว
ละครเปล่งถ้อยคำออกมาคุยกับคนอ่านได้โดยตรง แทนที่จะมีเพียงตัว
หนังสือใต้ภาพเหมือนในอดีต
นิยายวิทยาศาสตร์ตะลุยอวกาศ Buck Rogers in the 25th Century
A.D. ของ Philip Francis Nowlan และนิยายผจญภัยในพงไพร Tarzan
of the Apes ของ Edgar Rice Burroughs ถูกวาดเป็นการ์ตูนช่องลงใน
หนังสือพิมพ์ของอเมริกาพร้อมกัน โดยเรื่องแรกนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของ
การ์ตูนช่องแนวไซไฟ
Elzie Crisler Crisler Segar เขียนการ์ตูนช่อง Thimble Theatre
ให้กับ King Features Syndicate โดยมีพระเอกเป็นกลาสีเรือชื่อ
Popeye
Herge (Georges Remi) เขียน The Adventures of Tintin เป็น
การ์ตูนช่องภาษาฝรั่งเศส ลงในหนังสือพิมพ์ Le Vingtieme Siecle ของ
เบลเยี่ยม โดยวางตัวละครเอกเป็นนักข่าวหนุ่มกับสุนัขคู่ใจ ที่ต้องเดินทาง
ไปผจญภัยในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก
ปี 1931
Chester Gould สะท้อนภาพความรุนแรงของอาชญากรรมในชิคาโก
ออกมาในรูปแบบของการ์ตูนช่องแนวนักสืบ Dick Tracy ที่ลงใน
หนังสือพิมพ์ Detroit Mirror
เซลล์แมน Maxwell Gaines กับผู้จัดการฝ่ายเซลล์ Harry I.
Wildenberg และ George Janosik เจ้าของ
โรงพิมพ์ Eastern Color Printing ทดลองนำการ์ตูนช่องที่เคยลงใน
หนังสือพิมพ์ มาพิมพ์รวมเล่มในไซส์แท็บลอยด์ 8 หน้า เพื่อเป็นของ
สมนาคุณแจกลูกค้าในชื่อ Funnies on Parade ก่อนจะปรับขนาดเป็น 38
หน้า มาวางขายตามแผงหนังสือทั่วไปในชื่อ Famous Funnies: A
Carnival of Comics ที่ได้รับการบันทึกในฐานะ “หนังสือ
การ์ตูน” (comic book) เล่มแรกของอเมริกา
ปี 1934
Alex Raymond เขียนการ์ตูนช่อง Flash Gordon ลงในหนังสือพิมพ์
แข่งกับ Buck Rogers
ปี 1935
Marge (Marjorie Henderson Buell) เขียนการ์ตูนช่อง Little Lulu
ลงในหนังสือพิมพ์ The Saturday Evening Post ก่อนที่เด็กสาวตัวน้อยนี้
จะถูกใช้ในโฆษณากระดาษทิซซี่ Kleenex และน้ำอัดลม Pepsi-Cola
ผู้พัน Malcolm Wheeler-Nicholson เปิดสำนักพิมพ์ National
Allied มาพิมพ์นิตยสาร New Fun: The Big Comic Magazine ที่ไม่
ได้นำการ์ตูนช่องจากหนังสือพิมพ์มารวมเล่ม แต่เขียนขึ้นมาเองใหม่หมด
ปี 1937
Detective Comics เป็นนิตยสารการ์ตูนเล่มสุดท้ายของสำนักพิมพ์
National Allied ก่อนถูก Harry Donenfeld เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการ
พร้อมเปลี่ยนชื่อสำนักพิมพ์เป็น Detective Comics หรือ DC Comics
สำนักพิมพ์ D.C. Thomson ของอังกฤษ ผลิตการ์ตูนเด็ก The Dandy
และตามมาด้วย The Beano
ปี 1938
DC Comics ออกนิตยสารการ์ตูนรายเดือนเล่มใหม่ Action Comic ที่
หน้าปกฉบับปฐมทัศน์เป็นรูปชายในชุดรัดรูปสีน้ำเงิน-แดง ติดตัวอักษร
‘เอส’ บนหน้าอก ผู้แข็งแรงขนาดยกรถยนต์ทั้งคันขึ้นมาได้สบายๆ โดย
Jerry Siegel และ Joe Shuster ช่วยกันสร้างสรรค์ตัวละครนี้ขึ้นมา โดย
ตั้งใจให้มีพละกำลังเหนือมนุษย์แบบ Samson หรือ Hercules แต่ก็แอบ
ปกปิดตัวจริงไม่ให้สาธารณชนรู้ (ในคราบนักข่าวแว่นหนา) แบบ The
Shadow หรือ The Mark of Zorro จนออกมาเป็น Superman ที่ถือ
เป็น “ซูเปอร์ฮีโร่” คนแรกของโลก
DC Comics เปิดตัวซูเปอร์ฮีโร่นักสืบ Batman ใน Detective
Comics#27 ที่ไม่ได้มีพละกำลังเหนือมนุษย์แบบ Superman แต่มีมัน
สมองเป็นเลิศ พร้อมอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย โดยผู้สร้างสรรค์คือ Bob
Kane บอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก The Mark of Zorro ผสมกับภาพ
สเก๊ตเครืองร่อนปีกนกของ Leonardo Da Vinci และฆาตกรชุดค้างคาว
ในหนัง The Bat Whisper
สำนักพิมพ์ Timely Comics ของ Martin Goodman ออกหนังสือ
การ์ตูนรายเดือน Marvel Comics พร้อมเปิดตัวซูเปอร์ฮีโร่แอนดรอยด์
พลังเพลิง Human Torch และมนุษย์จ้าวสมุทร Prince Namor the
Sub-Mariner
ปี 1940
DC Comics สร้างซูเปอร์ฮีโร่มาอีกมากมายทั้ง บุรุษที่เร็วที่สุดในโลก
The Flash หรือเจ้าของตะเกียงและแหวนวิเศษ Green Lantern ฯลฯ
ก่อนจะนำมารวมทีมเป็น Justice Society of America
จิตแพทย์ William Moulton สร้างสรรค์ Wonder Woman ขึ้นมา
เป็นซูเปอร์ฮีโร่หญิงคนแรกในจักรวาลของ DC Comics
Joe Simon และ Jack Kirby สร้างสรรค์ซูเปอร์ฮีโรในชุดธงชาติอเมริกัน
ออกมากำราบกองทัพนาซีเยอรมันในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังร้อน
ระอุใน Captain America ของ Timely Comics
Bob Montana นำชีวิตของเด็กชายวัยรุ่นอเมริกันธรรมดาๆ มาเขียน
เป็นการ์ตูน Archie Andrews ใน Pep Comics#22 ที่ประสบความ
สำเร็จจนสำนักพิมพ์ MLJ ต้องเปลี่ยนชื่อตามเป็น Archie Comics
ปี 1942
Bob Wood และ Charles Biro นำชีวิตจริงของอาชญากรและ
ฆาตกรมาถ่ายทอดเป็นนิตยสารกร์ตูน Crime Does Not Pay ที่มี Mr.
Crime เป็นตัวเล่าเรื่อง และปลุกกระแสการ์ตูนแนวอาชญากรรมขายความ
รุนแรงให้เป็นที่นิยมในอเมริกา
ปี 1943
Walt Kelly นำเรื่องราวของสิงสาราสัตว์ริมหนองน้ำ มาเขียนเป็น
การ์ตูช่องเสียดสีสังคมและการเมือง Pogo Possum
สำนักพิมพ์ในโอซากาเริ่มผลิตหนังสือการ์ตูนราคาถูกออกมาขาย โดย
พิมพ์ด้วยหมึกสีแดง จนถูกเรียกว่า “อะคาบอน” (หนังสือแดง) ซึ่งหนึ่งในนั้น
ก็มีงานของนักศึกษาแพทย์ โอซามุ เทซูกะ เรื่อง New Treasure Island
ที่ทดลองวางเลย์เอาท์ แบ่งช่อง ซูมภาพใกล้ไกลราวกับชมภาพยนตร์ จน
สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่คนอ่านในยุคนั้นอย่างมาก รวมอยู่ด้วย
ฝั่งโตเกียว มีการเปิดตัวนิตยสารการ์ตูน Manga Shonen ของ เคนอิจิ
คาโต ที่ตีพิมพ์แต่การ์ตูนที่เขียนขึ้นมาเองใหม่หมด
ด้วยระบบการพิมพ์ที่มีมาตรฐานสูงกว่าโอซาก้า
ปี 1948
Gian Luigi Boneli กับ Aurelio Galleppini ช่วยกันเขียนการ์ตูน
คาวบอยอิตาลี Tex Willer ที่ขายดีมากในแถบลาตินอเมริกา
ปี 1950
Charlie Brown กับ Snoopy และผองเพื่อนปรากฏตัวในการ์ตูนช่อง
Peanuts ของ Charles M. Schulz ที่ถือเป็นการ์ตูนช่องที่ประสบความ
สำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะได้ลงในหนังสือพิมพ์ถึง 2,600 ฉบับ
และมีคนอ่านกว่า 355 ล้านคนใน 75 ประเทศทั่วโลก
William Gaines และ Al Feldstein แห่ง EC Comics ทดลองเปิด
ตลาดการ์ตูนแนวสยองขวัญสั่นประสาทด้วย Tales from the Crypt แล้ว
ขายดีมาก จนต้องมี The Haunt of Fear และ The Vault of Horror
มาขายแผงคู่กันทุกสองเดือน โดยทุกเล่มจะมีตัวเล่าเรื่องเป็นแม่มดและผี
เฝ้าสุสาน
1950 โอซามุ เทซึกะ ย้ายจากโอซาก้ามาโตเกียว และวาด สิงห์น้อยจ้าวป่า
(Jungel Emperor) ลงใน Manga Shonen เป็นเรื่องแรก
1951
EC Comics เปิดตลาดการ์ตูนสงครามด้วย Frontline Combat ที่มี
Harvey Kurtzman เป็นบรรณาธิการคู่กับ Two-Fisted Tales โดยฉาก
หลังของเรื่องราวมีทั้งสงครามเกาหลี สงครามโลกครั้งที่สอง
สงครามกลางเมือง และการปฏิวัติ แต่ธีมหลักของหลายเรื่องจะเป็นการต่อ
ต้านสงคราม มากว่าเชิดชูวีรกรรม
Julius Schwartz บรรณาธิการของ DC Comics ตัดสินใจนำ The
Flash (ที่หยุดตีพิมพ์ไปแล้ว) กลับมาด้วยรูปโฉมใหม่ที่ทันสมัยปราดเปรียว
ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะลงมือยกเครื่อง Green Lantern และซูเปอร์ฮีโร่อีก
หลายคนของ DC Comics ให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังเผชิญกับ
วิกฤติต่อต้านการ์ตูน จนเหลือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ที่ยังคงวางแผงอย่างต่อ
เนื่องทุกเดือนเพียง 3 เรื่องเท่านั้นคือ Superman, Batman และ
Wonder Woman
Rene Goscinny และ Albert Uderzo เขียนการ์ตูน The
Adventures of Asterix ลงในนิตยสาร Pilote แล้วประสบความสำเร็จ
เป็นหนึ่งในการ์ตูนฝรั่งเศสที่รู้จักกันทั่วโลก
ปี 1961
Stan Lee ที่เป็นบรรณาธิการของ Marvel Comics ร่วมกับนักวาด
Jack Kirby สร้างสรรค์ซูเปอร์ฮีโรแนวใหม่ ที่ไม่ได้เป็นบุคคลในอุดมคติผู้
สมบูรณ์พร้อมดังเช่นในอดีต แต่เป็นปุถุชนที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และ
ปัญหาชีวิตไม่ต่างกับคนทั่วไป โดยเริ่มจากครอบครัวสี่กายสิทธิ์ Fantastic
Four แล้วประสบความสำเร็จ จนมีไอ้ยักษ์เขียว The Hulk, ไอ้แมงมุม
Spider-Man, คนเกราะเหล็ก Iron Man, ทีมมนุษย์ผ่าเหล่า X-Men,
Daredevil ฯลฯ ตามมาอีกเป็นสิบเป็นร้อยตัว กระทั่งจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่
ของ Marvel Comics ขยายใหญ่พอที่จะเป็นคู่แข่งกับต้นตำรับอย่าง DC
Comics ได้แล้ว
Marvel Comics สร้างซูเปอร์ฮีโร่ผิวสีคนแรกในนาม Black Panther
ขึ้นมาใน Fantastic Four#52 ก่อนจะตามมาด้วย The Falcon กับ
Luke Cage ขณะที่ฝั่ง DC ก็มี Black Lighning
การ์ตูนเจ้าหนูเบสบอล Star of the Giants ของ อิคคิ คาจิวาระ และโน
โบรุ คาวาซากิ ได้รับความนิยมอย่างสูง จนเปิดตลาดให้การ์ตูนกีฬาเรื่อง
ต่อๆ มา
นิยาย ยอดคนแดนเถื่อน Conan the Barbarian ของ Robert E.
Howard ถูก Roy Thomas และ Barry Windsor-Smith ดัดแปลงเป็น
หนังสือการ์ตูนให้กับ Marvel Comics แล้วขายดีมาก จนมีการต่อยอด
เป็นเวอร์ชั่นขาวดำ ที่เนื้อหารุนแรงขึ้นในชื่อ Savage Sword of Conan
Jack Kirby ย้ายจาก Marvel มาทำงานให้ DC Comics แล้วสร้าง
เรื่องชุด The Forth World มาลงในหนังสือการ์ตูนหลายเล่ม รวมทั้งเล่มที่
เปิดใหม่อย่าง New Gods, Mister Miracle, The Forever People แต่
สุดท้ายก็เขียนไม่จบ เพราะหนังสือขายไม่ดี จนถูกสั่งปิดก่อน แต่ตัวละคร
หลายตัวใน The Forth World ก็ยังอยู่ในจักรวาลของ DC จนถึงปัจจุบัน
Mike Friedrich พิมพ์นิตยสารรวมการ์ตูนไซไฟแฟนตาซี Star Reach
ออกมาขายคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่แบบเดียวกับการ์ตูนใต้ดินหรือ comix แต่
ปรากฏว่าขายดีไม่แพ้การ์ตูนกระแสหลักของ Marvel/ DC Comics
Marvel Comics ช็อคคนอ่าน ด้วยการเขียนเรื่องให้ Gwen Stacy คน
รักของ Peter Parker หรือ Spider-Man ถูกวายร้าย The Green
Goblin ฆ่าตายใน The Amazing Spider-Man#122
โอซามุ เทซึกะ นำความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมาเขียน แบล็คแจ็ค หมอ
ปีศาจ (Black Jack )
สำนักพิมพ์ IPC Magazines ของอังกฤษ ผลิตนิตยสารการ์ตูนไซไฟราย
สัปดาห์ 2000 AD ขึ้นมารับกระแสบูม ของภาพยนตร์แนวไซไฟ โดย
นอกจากจะสร้างตัวการ์ตูนอย่าง Judge Dredd เจ้าของประโยค “I am
the Law” ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้ว ที่นี่ยังเป็นสนามเพาะชำนักเขียนและ
นักวาดเลือดอังกฤษ ที่จะไปโด่งดังต่อในตลาดการ์ตูนอเมริกัน (ที่เรียกว่า
Brit Wave) ทั้ง Alan Moore (Watchmen) Neil Gaiman (Sandman)
Grant Morrison (Animal Man) Brian Bolland (Batman: The
Killing Joke) และ Bryan Talbot (Hellblazer)
Dave Sim เขียนการ์ตูนแคนาดา Cerebus ขึ้นมาล้อเลียน Conan
และ Howard the Duck ก่อนที่โทนเรื่องจะค่อยๆ เปลี่ยนจากการฟันดาบ
และเวทมนต์คาถา เป็นเรื่องการเมืองและศาสนา จนกลายเป็นการ์ตูนอิสระ
ที่ขายดีกว่า 36,000 เล่ม
Will Eisner นำคำว่า “นิยายภาพ” (graphic novel) มาวางบนปก
หนังสือ A Contract with God, and Other Tenement Stories ของ
ตัวเอง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของมันจากการ์ตูนทั่วไป ที่โยงเรื่อง
ราวสั้นๆ 4 เรื่องในชุมชนชาวยิวของนิวยอร์คเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน
Jim Davis เขียนการ์ตูนช่อง Garfield ลงในหนังสือพิมพ์ แล้วในระยะ
เวลาเพียงสามปี เจ้าแมวเจ้าเล่ห์ตัวนี้ก็ได้ไปซ่าในหนังสือพิมพ์ 850 ฉบับ
และทำเงินจากธุรกิจมาร์ชานไดส์ไปราว 15 ล้านเหรียญ
เปิดตัว June นิตยสารการ์ตูนที่เน้นเรื่องราวแนว “ชายรักชาย” เล่มแรก
ของญี่ปุ่น
Alan Moore เขียน V for Vendetta มาตอบโต้บรรยากาศการเมือง
ของอังกฤษในยุคขวาจัดของประธานาธิบดีมาร์การ์เรต แธชเชอร์ ด้วยการ
ให้ชายลึกลับสวมหน้ากาก กาย ฟอว์คส์ มาปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลแห่ง
อนาคต ที่ชาตินิยมสุดโต่ง
Raymond Briggs เขียน When the Wind Blows ที่เล่าเหตุการณ์
สมมุติ หากสหภาพโซเวียตยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่ประเทศอังกฤษ ผ่าน
สายตาของคู่สามีภรรยาชราคู่หนึ่ง
ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ (Fist of the North Star) ของ ฮาระ เทซูโอะ และ
บูรอนซอน ลงตีพิมพ์ใน Shonen Jump โดยได้แรงบันดาลใจของเครื่อง
แต่งกายและฉากหลังของโลกที่ล่มสลายจากหนังชุด Mad Max
ปี 1984
Kevin Eastman กับ Peter Laird เขียนการ์ตูนขาวดำ Teenage
Mutant Ninja Turtle (ขบวนการมุดดินนินจาเต่า) มาพิมพ์ขายด้วยเงิน
ของตัวเองจำนวน 3,000 เล่ม และประสบควมสำเร็จ ถึงขนาดถูกสร้างเป็น
อะนิเมชั่นและภาพยนตร์ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
Alan Moore นำซูเปอร์ฮีโร่มายืนอยู่บนโลกใบเดียวกับคนอ่าน แล้ว
ค่อยๆ ปอกเปลือกให้เห็นสภาพจิตใจของพวกเขาอย่างถึงแก่นในซีรีส์ 12
เล่มจบ เรื่อง Watchmen ของ DC Comics ที่โดดเด่นตรงการเล่นกับ
เทคนิคของสื่อการ์ตูน ทั้งการใช้ข้อความที่ไม่สัมพันธ์กับภาพ การแบ่งกร
อบซ้ำๆ การ์ตูนซ้อนการ์ตูน ฯลฯ จนเป็นหนังสือการ์ตูนเพียงเล่มเดียวที่ติด
อันดับ 1 ใน 100 นวนิยายยอดเยี่ยมนับตั้งแต่ปี 1923 ของนิตยสาร
Time
Frank Miller เขียนถึง Batman ในวัยชรา ผู้พบว่าเมืองกอธแธมและ
โลกใบนี้ต่างไปจากอดีตมากในมินิซีรีส์ 4 เล่มจบชุด The Dark Knight
Return ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้การ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่อเมริกันเข้าสู่ยุคของ
ความมืดหม่นกดดัน และ เข้มข้นจริงจัง คู่ไปกับ Watchmen ของ Alan
Moore
Art Spiegelman นำประสบการณ์จริงของพ่อ ที่เป็นชาวยิวในโปแลนด์
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาเล่าผ่านตัวการ์ตูนที่เป็นหนูใน Maus: A
Survivor’s Tale ที่หลังจากเขียนเล่ม 2 จบบริบูรณ์ในปี 1991 ก็เป็น
การ์ตูนเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ได้รับรางวัลพิเศษจากคณะกรรมการ
Pulitzer Prize
Harvey Pekar เขียนเล่าชีวิตประจำวันของตัวเองในคลีฟแลนด์ มาให้
Robert Crumb และนักวาดการ์ตูนหลายคนวาดออกมาเป็นหนังสือ
การ์ตูนที่พิมพ์เอง ขายเองในชื่อ American Splendor
คาซูโอะ อูเมซู เขียนการ์ตูนสยองขวัญชุด Left Hand of God, Right
Hand of Devil และไปเป็นกรรมการตัดสินรางวัล “คาซูโอะ อูเมซุ อ
วอร์ด” ให้กับนิตยสารการ์ตูนสยองขวัญ เกคคัน ฮาโลวีน ที่ผู้ชนะในปีนั้น
คือเรื่องสั้นสาวสยองไม่รู้จักตาย Tomie ของ จุนจิ อิโตะ ผู้บูชาคาซูโอะเป็น
อาจารย์
เจสัน ทอดด์ หรือ Robin คนที่ 2 ผู้ช่วยของแบทแมน เสียชีวิตในเรื่องชุด
A Death in the Family หลัง DC Comics เปิดให้คนอ่านโทรศัพท์เข้า
มาโหวตเพื่อช่วยชีวิตแล้ว แต่คะแนนขาดไปเพียง 28 คะแนนเท่านั้น
Shonen Jump ทำยอดขายทะลุ 5 ล้านเล่ม เพราะมีการ์ตูนฮิตทั้ง
Dragon Ball, Saint Seiya, City Hunter, Captain Tsubasa,
Orange Road, ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ฯลฯ
ปี 1989
Neil Gaiman เขียนถึงเทพเจ้าแห่งความฝัน และวงศ์วานของเหล่าผู้เป็น
นิรันดร์ใน The Sandman ให้กับ DC Comics ด้วยความยาวถึง 75
ตอนจบ โดยตอน A Midsummer Night’s Dream นั้นเป็นการ์ตูนเรื่อง
แรกและเรื่องเดียวที่ได้รับรางวัล The World Fantasy Award
Daniel Clowes เขียนหนังสือการ์ตูนทางเลือก Eightball ที่เต็มไปด้วย
เรื่องสั้นแนวตลกร้าย
หนังสือการ์ตูน X-Force#1 ของ Rob Liefeld ทำลายสถิติยอดขาย
ของ Spider-Man#1 ด้วยตัวเลข ที่มากกว่าเกือบเท่าตัวคือ 5 ล้านเล่ม
จากปกที่มีให้เก็บสะสมถึง 7 แบบ แต่หลังจากนั้นเพียงสองเดือน XMen#
1 ของ Jim Lee (ที่มีปกแตกต่างกัน 5 แบบ) ก็สร้างสถิติใหม่ที่ยัง
ไม่มีการ์ตูนเล่มไหนทำลายได้จนถึงปัจจุบันคือ 8 ล้านเล่ม
Frank Miller นำบรรยากาศมืดทะมึน ชายในเสื้อโค้ตกันฝน สาวสวย
และรถยนต์เก่าๆ จากฟิล์มนัวร์และนิยายอาชญากรรม มาเขียนเป็นการ์ตูน
ขาวดำ Sin City ที่โชว์การใช้แสงเงาตัดอย่างรุนแรง ให้กับสำนักพิมพ์
Dark Horse Comics
ปี 1992
7 นักวาดการ์ตูนดาวรุ่งของ Marvel Comics คือ Todd McFarlane
(Spider-Man) Rob Liefeld (X-Force) Jim Lee (X-Men) Marc
Silvestri (Wolverine) Erik Larsen (Amazing Spider-Man) While
Portacio (Uncanny X-Men) และ Jim Valentino จับมือกันลาออก
จาก Marvel มาตั้งสำนักพิมพ์พิมพ์ใหม่ในชื่อ Image Comics ที่ชูนโน
บายมอบสิทธิต่างๆ ในตัวละครให้แก่ผู้สร้างสรรค์ (ไม่ใช่สำนักพิมพ์เหมือน
Marvel หรือ DC) พร้อมส่งการ์ตูนซูเปอร์ทีม Yong Blood ของ Liefeld
มาวางจำหน่ายเป็นเรื่องแรก ตามด้วย Spawn ของ McFarlane ที่ฉบับ
แรกขายได้ถึง 1.7 ล้านเล่ม เป็นการ์ตูนจากสำนักพิมพ์อิสระที่ขายดีที่สุดที่
เท่าที่เคยมีมา
DC Comics เปิดสำนักพิมพ์ลูกในชื่อ Vertigo Comics เพื่อผลิตงาน
ป้อนนักอ่านรุ่นใหญ่โดยเฉพาะ จึงมีเนื้อหารุนแรงได้เต็มที่ โดยมีงานนัก
เขียนอังกฤษอย่าง Neil Gaiman (The Sandman และ Black Orchid)
Grant Morrison (Animal Man, Doom Patrol และ Shade) และ
Alan Moore (Hellblazer และ The Saga of the Swamp Thing)
เป็นหัวเชื้อ
-สำนักพิมพ์เดอะเนชั่น คอมิคส์ ได้ลิขสิทธิการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ของ DC
Comics ทั้ง Superman และ Batman มาตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ขณะที่ซู
เปอร์ฮีโร่ของ Marvel Comics อย่าง Spider-Man. Hulk, X-Men
ฯลฯ ตกเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์แอ็ดวานซ์ คอมมิวนิเคชั่น
Ghost In the Shell ฉบับภาษาอังกฤษวางขายในอเมริกา พร้อมกับอะ
นิเมชั่นของ Production I.G. ที่ไม่ประสบความสำเร็จเลยในวันที่เข้าฉาย
แต่ก็ค่อยๆ สั่งสมความนิยมในตลาดวิดีโอ จนพี่น้องวาคาวสกี้ใช้เป็นแรง
บันดาลใจในการสร้างโลกในหนัง The Matrix
ผู้กำกับหนังสุดแสบ Kevin Smith (Dogma) มาเขียนการ์ตูน
Daredevil ให้ Marvel Comics แล้วประสบความสำเร็จ จนคนในวงการ
ทีวีและภาพยนตร์เริ่มไหลเข้าสู่วงการการ์ตูนมากขึ้นอย่าง J.Michael
Straczynski (Babylon 5) ก็มาเขียน Spider-Man, Fantastic Four
และ Thor ส่วน Joss Whedon (Buffy the Vampire Slayer) ก็เขียน
Astonishing X-Men ขณะที่ Bob Gale (Back to the Future) ก็เขียน
Batman และ Daredevil
ปี 2000
อดีตบรรณาธิการ นักเขียน นักวาด Joe Quesada ได้เลื่อนขั้นเป็น
บรรณาธิการบริหารของ Marvel Comics แล้วเปิดสำนักพิมพ์ลูก
Ultimates Marvel มาเจาะตลาดนักอ่านรุ่นใหม่ ด้วยการรีบูตซูเปอร์ฮีโร่
ใหม่หมดตั้งแต่ตอนกำเนิด โดยถือว่าเป็นเรื่องราวในอีกจักรวาลหนึ่งไปเลย
ทั้ง Ultimate Spider-Man, Ultimate X-Men, The Ultimates และ
Ultimate Fantastic Four
นาโอกิ อูราซาวะ เขียน แก๊งนี้มีป่วน 20th Century Boys ที่เล่าตัดสลับ
เหตุการณ์ตั้งแต่ปี 1969-2017 พร้อมตัวละครอีกหลายสิบชีวิต ลงใน Big
Comics Spirits
ปี 2001
สแตน ลี บิดาแห่งซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel Comics ข้ามค่ายมาเขียน
เรื่องชุด Just Imagine Stan Lee Creating… . ให้กับ DC Comics
โดยตั้งโจทย์ว่า ถ้าลีเป็นคนสร้างซูเปอร์ฮีโรของ DC อย่าง Superman,
Batman, Wonderwoman, The Flash และ Green Lantern พวกเขา
จะออกมาเป็นอย่างไร
Marvel Comics เลิกใช้ตรารับรองของ CCA แล้วสร้างระบบเรตติ้งของ
ตัวเองขึ้นมา พร้อมเปิดบริษัทลูกในชื่อ Max Comics เพื่อเจาะกลุ่มคนอ่าน
รุ่นใหญ่ ด้วยการ์ตูนอย่าง Alias, Haunt of Horror, The Punisher
ฯลฯ ในขณะที่การ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่รายเดือน ก็ถูกนำมารวมเล่มเป็นฉบับปก
อ่อน ตั้งขายในร้านหนังสือปกติ ให้คนอ่านติดตามซื้อได้ง่ายขึ้น
เหตุการณ์ก่อการร้าย 11 กันยา ส่งผลให้มีการผลิตการ์ตูนเพื่อหารายได้
เข้าองค์กรการกุศลออกมาทั้ง 9-11: September 11, 2001 (มี 2 เล่ม
เล่มแรกเป็นงานของสำนักพิมพ์ Image Comics กับ Dark Horse
Comics และ Chaos! Comics ส่วนเล่มสองเป็นของ DC Comics
ล้วนๆ) และ 9-11: Emergency Relief ของสำนักพิมพ์การ์ตูนทางเลือก
Alternative Comics ขณะที่ฝั่ง Marvel Comics ก็ออกมาถึง 3 เล่มคือ
Heroes กับ A Moment of Silence และ The Amazing Spider-
Man#36 ซึ่งเล่มสุดท้ายนั้นเขียนถึงปฏิกิริยาของซูเปอร์ฮีโร่และซูเปอร์วาย
ร้ายในจักรวาล Marvel ที่มีต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้
Chris Ware เขียน Jimmy Corrigan, the Smartest Kid on
Earth ที่มีตัวเอกเป็นหนุ่มใหญ่ผู้ว้าเหว่ ที่เดินทางไปพบพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้า
มาก่อนในชีวิต ด้วยงานอาร์ตแบบการ์ตูนหรือคัตเอาท์โฆษณายุคโบราณ
จนได้รับรางวัลมากมายทั้งในอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส
สำนักพิมพ์บงกชคอมิคส์ได้ลิขสิทธิ์การ์ตูนซูเปอร์อเมริกันจาก Marvel,
DC และ Image Comics มาจัดพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทย
ปี 2002
บริษัท Sega พิมพ์ Raijin Comics เป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นรายสัปดาห์
เพื่อเจาะตลาดเด็กโตและผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ด้วยการ์ตูนอย่าง Slam
Dunk และ City Hunter
ปี 2003
Jim Woodring รวบรวมการ์ตูนที่แทบไม่มีคำพูดหรือซาวด์เอฟเฟกต์ส
เลยของเจ้า Frank (ที่เป็นลูกผสมระหว่าง Mickey Mouse, Felix the
Cat และ Bugs Bunny) มารวมเล่มขายในชื่อ The Frank Book ที่ได้รับ
ความนิยมจนมีสินค้าเมอร์ซานไดส์ทั้งเสื้อยืด หรือแอ็คชั่นฟิคเกอร์
Viz Media พิมพ์ Shonen Jump ฉบับภาษาอังกฤษมาขายใน
สหรัฐอเมริกา ด้วยความหนา 228 และอ่านแบบหลังมาหน้าเหมือน
ต้นฉบับญี่ปุ่น แต่เปลี่ยนระยะเวลาวางจำหน่ายจากรายสัปดาห์เป็นราย
เดือน ซึ่งฉบับแรกที่มีการ์ตูนดังทั้ง Dragon Ball Z, One Piece, Yu-
Gi-Oh! ก็ขายได้เกือบ 3 แสนเล่ม
เทศกาลการ์ตูนนานาชาติ Angouleme ในฝรั่งเศส มอบรางวัลแก่ จิโร่
ทานิกูจิ ที่เขียนงานสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ด้วยฉากหลังวิจิตร
บรรจงอย่าง The Faraway Town และ The Man Who Walks
นิยายแฟนตาซีสยองขวัญชุด The Dark Tower ของสตีเฟน คิง ถูก
Marvel Comics ดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน ที่เจ็ดเล่มแรกติดอันดับเป็น
หนังสือการ์ตูนขายดีแห่งปี
Captain America ถูกวายร้าย Red Skull ฆ่าตายในการ์ตูนชุด Civil
War ของ Marvel Comics โดยหลังจากนั้นคู่หูของอเมริกาคือ Bucky ก็
มาสวมชุดลายธงชาติอเมริกาแทน